ทุเรียน

ทุเรียน  มีชื่อภาษาอังกฤษว่า  Durian โดยคำว่า  Durian ผันมาจากคำว่า Duri ซึ่งเป็นภาษามลายูที่แปลว่า “หนาม”  ให้ความหมายว่า ผลไม้ที่มีหนามโดยรอบ

ประวัติ

เราอาจได้ยินคำกล่าวที่ว่า  ทุเรียน  เป็นราชาแห่งผลไม้ของไทย  หลายคนเลยเข้าใจว่าถิ่นกำเนิดของผลไม้ชนิดนี้อยู่ที่ประเทศไทย  แต่อันที่จริงแล้ว  จุดเริ่มต้นของทุเรียนไม่ได้อยู่ที่นี่

ซีมง เดอร์ ลา ลูแบร์ หัวหน้าคณะราชทูตจากประเทศฝรั่งเศส  ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับประเทศไทยในปี พ.ศ.2336  โดยมีตอนหนึ่งกล่าวถึง “ทุเรียน” หรือที่คนสยามเรียกว่า “ทูลเรียน” ว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงขั้นมีคนนำมาปลูกและขยายพันธุ์จนกลายเป็นสวนทุเรียน  และนั่นจึงเป็นหลักฐานสำคัญว่า  คนไทยเริ่มปลูกทุเรียนมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  โดยแรกเริ่มอาจจะรับพันธุ์ทุเรียนมาจากทางภาคใต้  ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ว่า  ทุเรียนนั้นเป็นพืชพื้นเมืองของ บรูไน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย 

ประวัติทุเรียน
https://www.sanook.com/travel/1410525/

ต่างที่ ต่างสายพันธุ์ แต่ยังคงเอกลักษณ์

สายพันธุ์ทุเรียนมีมากกว่า 600 สายพันธุ์  แต่สำหรับประเทศไทย  สายพันธุ์ที่นิยมที่สุด  มีอยู่ 3 สายพันธุ์ ดังนี้

  1. พันธุ์ชะนี  เนื้อจะเนียนละเอียด เหนียวนุ่ม  รสชาติหวานมันจัดจ้าน  เมล็ดเล็ก  กลิ่นของทุเรียนชะนีจะหอมฉุนชัดเจนกว่าพันธุ์อื่น ๆ  
  2. พันธุ์หมอนทอง ปลูกได้ง่ายในทุกภาค ทุเรียนหมอนทองเป็นพันธุ์ที่นิยมที่สุดในไทย  เพราะกลิ่นหอมปานกลาง เมื่อสุกพอดีมีรสหวาน  เนื้อเนียน  เส้นใยน้อย  ปริมาณเนื้อเยอะเมล็ดน้อยจนค่อนไปทางลีบ 
  3. พันธุ์ก้านยาว  ทุเรียนก้านยาวหนึ่งในพันธุ์ที่ราคาสูงเป็นอันดับต้นๆ  สาเหตุมาจากพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด  ทำให้ปริมาณทุเรียนที่ผลิตออกมาได้น้อย  บวกกับความอร่อย  เนื้อละเอียดเป็นครีมจนแทบไม่มีเสี้ยน กลิ่นหอมละมุน  ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด  

การปลูกทุเรียน

การเตรียมพื้นที่

ทุเรียนเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำขังและง่ายต่อการเป็นโรครากเน่า  การปลูกทุเรียนควรเริ่มจากการหาพื้นที่ที่เหมาะสม โดยมีหลักเกณฑ์ในการเลือกดังต่อไปนี้

  1. น้ำ ในพื้นที่ต้องมีแหล่งน้ำจืดเพียงพอสำหรับทุเรียนตลอดทั้งปี
  2. อุณหภูมิ  ทุเรียนชอบอากาศร้อนชื้น  อุณหภูมิที่เหมาะสมจะอยู่ที่ช่วง 25-30 องศาเซลเซียส มีความชื้นสัมพัทธ์สูงประมาณ 75-85%  โดยพื้นที่นั้นต้องไม่มีความแตกต่างด้านอุณหภูมิจนมากเกินไป  เช่น ร้อนจัด หนาวจัด  หรือมีลมแรง  เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาใบร่วง  ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทุเรียน
  3. ดิน  อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า  ทุเรียนไม่ชอบน้ำขัง  ดังนั้น  ดินควรเป็นดินร่วนปนทราย  หรือดินเหนียวปนทรายที่ง่ายต่อการระบายน้ำ  
ทุเรียนลักษณะ

https://puechkaset.com/

การปลูก

  1. เลือกพันธุ์ทุเรียน  โดยทุเรียนที่เลือก จะเป็นพันธุ์ใดก็ได้  มาจากการขยายพันธุ์แบบใดก็ได้  ไม่ว่าจะเป็นการทาบกิ่ง ตอนกิ่ง  หรือเสียบยอด  แต่ควรเป็นทุเรียนที่มีอายุประมาณ 1 ปี  เพราะถ้าอายุน้อยกว่านี้อาจไม่แข็งแรงพอ
  2. ปรับพื้นที่สำหรับปลูกให้เรียบ  จากนั้นจึงวางแนวสำหรับปลูก  โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นและแถวด้านละประมาณ 8-10 เมตร
  3. การปลูกทุเรียน  มี 2 วิธี คือ  แบบขุดหลุม และแบบไม่ขุดหลุม
    1. การปลูกแบบขุดหลุม การปลูกแบบนี้ เหมาะกับสวนที่ไม่มีการวางระบบน้ำ ทำได้โดย  ขุดหลุมปลูก กว้างxยาวxลึก ด้านละ 50 cm โดยนำดินที่ขุดขึ้นมา ผสมกับปุ๋ยคอกเก่า 5 กิโลกรัม และปุ๋ยหินฟอสเฟต ครึ่งกิโลกรัม  คลุกเคล้ากันแล้วนำดินกลับไปรองก้นหลุมประมาณ 2 ใน 3 ของความลึก กรีดก้นถุงเพื่อดูรากขด  ขากพบรากแก้วขดอยู่ให้ตัดรากออก  จากนั้นจึงกรีดขอบถุงแนวตั้งเพื่อนำทุเรียนออกจากถุงอย่างเบามือ วางทุเรียนลุงหลุมแล้วนำดินที่เหลือมากลบ  กดรอบโคนต้นเล็กน้อยและรดน้ำให้ชุ่ม  หากปลูกในช่วงฤดูแล้ง หรือช่วงที่มีแดดจัดอย่าลืมทำที่บังแดดให้ต้นทุเรียนในช่วง 2-3 เดือนแรก
    2. การปลูกแบบไม่ขุดหลุม  การปลูกแบบนี้จะทุ่นแรง  ใช้เวลาไม่มาก รากเจริญเร็ว เหมาะกับสวนที่มีการวางระบบน้ำไว้เป็นอย่างดีแล้ว  วิธีคือ  เมื่อกำหนดจุดวางต้นทุเรียนแล้ว  ให้โรยปุ๋ยกินฟอสเฟตประมาณครึ่งกิโลกรัมบริเวณรอบๆ  แล้วกลบด้วยดินบางๆ  นำทุเรียนออกจากถุงมาวางตรงตำแหน่งที่กำหนด (การกรีดถุงและตัดราก ใช้หลักการเดียวกับการปลูกทุเรียนแบบขุดหลุม)  จากนั้นจึงถากดินบริเวณรอบๆขึ้นมาพูนกลบต้นทุเรียน  กดรอบโคนต้น  รดน้ำจนชุ่ม  และทำที่บังแดดให้ต้นทุเรียนต่อไป
ทุเรียนประโยชน์

https://kaset1009.com/th/articles/204342

การดูแลรักษา

  1. ให้น้ำให้ดินชุ่มอยู่เสมอ  และหมั่นตรวจดูปากหลุมไม่ให้เป็นแอ่งน้ำขัง  ช่วงฤดูแล้งควรหาวัสดุมาคลุมดินโดยรอบต้นทุเรียนเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ
  2. การใส่ปุ๋ย  ช่วงปีแรกควรใส่เดือนเว้นเดือนโดยใช้ปุ๋ยคอก  ส่วนปีต่อๆไปที่ยังไม่ให้ผลผลิตควรใส่ช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน  เมื่อต้องการผลผลิต  ให้ใส่ปุ๋ยทันทีช่วงที่ตัดแต่งกิ่งเตรียมทุเรียนสำหรับออกดอก  โดยอาจใช้ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15  หรือ 16-16-16  ต้นละประมาณ 3 กิโลกรัม
  3. ในช่วงที่เร่งให้ทุเรียนออกดอก  จะใช้วิธีการงดน้ำประมาณ 10-14  วัน  จนใบสลด  จากนั้นค่อยๆปรับปริมาณน้ำให้เพิ่มขึ้นทีละน้อย  จนกระทั่งติดดอกดี  จึงให้น้ำในปริมาณปกติ
  4. เมื่อติดดอก  เกษตรกรจะทำการตัดแต่งดอก  โดยเลือกดอกที่สมบูรณ์ และตำแหน่งของดอกบนกิ่งที่ต้องการให้เจริญต่อ
  5. หลังดอกบานประมาณ 3-6 สัปดาห์  ก็จะทำการคัดเลือกและตัดแต่งผลที่ไม่สมบูรณ์ทิ้ง  ทั้งลูกที่บิดเบี้ยวหรือลูกที่ลีบเล็ก หนามแดง  รูปทรงไม่สม่ำเสมอ  ให้เหลือผลที่ดีไว้มากกว่าที่ต้องการจริงประมาณ 50%
  6. หลังติดผลสัปดาห์ที่ 5-6  ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 12-12-17-2 หรือ 13-13-21 หรือ 4-16-24-4 ต้นละ 2-4 กิโลกรัมเพื่อทำให้ผลเจริญดี  และสัปดาห์ที่ 7-8 ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 0-0-50 ประมาณ 1-2 กิโลกรัม เพื่อทำให้เนื้อทุเรียนมีคุณภาพเพิ่มความเข้มของสีเนื้อ  และดูแลรดน้ำไปจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
ความรู้เรื่องทุเรียน

https://thaidurian.com/

สรรพคุณของทุเรียน

ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว  ให้พลังงานสูง แต่ในทุเรียนมีสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย  ทุเรียนประโยชน์ เช่น

  • มีสารโพลีฟีนอล  ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  การรับประทานทุเรียนในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วงป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
  • มีเส้นใยสูง  ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
  • ในทุเรียนมีสารกำมะถัน  ที่เรียกว่า Organosulfur มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ  ช่วยฆ่าเชื้อและฆ่าพยาธิ
  • เนื้อทุเรียนมีฟอสฟอรัสสูง ช่วยรักษาสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย  และซ่อมแซมเซลส์ที่สึกหรอ
  • เปลือกทุเรียนเองก็มีโพแทสเซียมสูง  สามารถนำมาทำปุ๋ยหมัก  โดยนำเปลือกทุเรียนมาผสมกับปุ๋ยคอกในอัตรา 4:1 รดน้ำทุกวัน  ประมาณ 1-1.5 เดือนก็จะได้ปุ๋ยหมักคุณภาพดีไว้ใช้ในสวนทุเรียนต่อไป.
ทุเรียนหมอนทอง

https://talk.mthai.com/health/412209.html

reference

https://www.arda.or.th

https://www.opsmoac.go.th

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *